Archive ตุลาคม 2019

อาหารเสริมบำรุงตับที่ตับมีความต้องการสูง

ถ้าให้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับตับทุกคนย่อมทราบกันดีว่าตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง ซึ่งตับจะมีลักษณะนุ่ม และจะมีลักษณะที่มีสีออกเป็นสีแดง

สำหรับตับส่วนใหญ่เราคาดว่าน่าจะมีน้ำหนักประมาณ 1.3 – 3 กิโลกรัม โดยสะส่วนใหญ่โดยปกติแล้วเรานั้นไม่รู้ว่าตับอยู่ส่วนไหนของร่างกายอย่างแน่ชัดกันแน่ เพราะเราไม่สามารถที่จะคลำได้

แต่อันที่จริงในทางการแพทย์ก็ได้แจ้งไว้ว่าตับของคนเราอยู่ตรงบริเวณ ชายโครงขวาใต้กระดูกซี่โครง แต่ทว่าตับมีการโตขึ้นจะสามารถขยายออกได้ทั้งด้านข้าง ลงล่างหรือสามารถขึ้นบนก็ได้ ซึ่งอาจจะสังเกตได้จากคนที่เป็นโรคตับจะมีอาการจุกแบบตื้อๆ

 

เนื่องจากตับของเรามีหลอดเลือดที่สำคัญเพราะทำหน้าที่ผ่าน เข้า-ออก ทั้งหมด 3 ทาง นั้นก็คือ

Hepatic Portal Vein (หลอดเลือดดำพอร์ทัลตับ)

เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในระบบการไหลเวียนพอร์ทัลตับและเป็นระบบหลอดเลือดดำพอร์ทัลตับหนึ่งในสองของระบบในร่างกายส่วนอีกระบบนึงอยู่ที่ระบบไหลเวียนพอร์ทัลไฮโปไฟเซียลที่ต่อมใต้สมองเนื่องจากหลอดเลือดดำ จากลำไส้ เล็ก,ใหญ่ ได้นำสารอาหาร กลูโคสที่พึงผ่านกระบวนการย่อยหรือการดูดซึมส่งมายังตับของเราเพื่อกระบวนการต่อไปในการทำงานของตับเพื่อคัดแยกตามกรรมวิธีต่างๆ

 

Hepatic Artery

ซึ่งหลอดเลือดแดงจากหัวใจจะต้องนำพาเลือดแดงที่เต็มไปด้วยออกซิเจนที่มีจำนวนค่อนข้างมาก ส่งมาไว้ที่ตับเพื่อเลี้ยงเซลล์ตับเพื่อให้ทำงานต่อระบบต่อไป แต่ทว่าในขณะเดียวกันนั้นหลอดเลือดแดงก็นำเอา คาร์บอลไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสิ่งของที่ไม่มีประโยชน์เป็นของเสียจากตับ เพื่อนำไปส่งยังหลอดเลือดดำ กลับเข้าไปสู้หัวใจและปอดอีกด้วย

 

Hepatic Vein

เนื่องจากหลอดเลือดดำจากตับ จะต้องนำเข้าสู่หลอดเลือดดำของหัวใจ เพื่อต้องการให้ตับได้นำตาร์บอนไดออกไซด์น้ำตาลกลูโคสและสารอาหารต่างๆที่ร่างกายต้องการ รวมทั้งตับอ่อนเองก็ยังได้ช่วยส่ง อิซูลิน ส่งไปยันหัวใจ เพื่อที่จะให้หัวใจไปรับออกซิเจนก่อนจากนั้นหัวใจก็จึงจะแจกจ่ายออกซิเจนไปทั้วทุกเซลล์ให้แก่ระบบทุกระบบภายในร่างกายของเรา เป็นที่นำมาสู่ระบบการทำงานต่างๆของร่างกายในกระบวนการอื่นๆ เราสามารถบำรุงตับด้วยวิธีใช้ อาหารเสริมบำรุงตับ หรือวิธีการออกกำลังกายเพื่อให้ตับของเราอยู่กับเรายาวนานขึ้น

ดื่มนมวัวทีไร ท้องเสียทุกทีหรือว่าคุณกำลัง…

ในปัจจุบันนี้อาจมีคนที่กำลังท้องเสียเพราะดื่มนม บางคนรู้ตัว แต่บางคนไม่รู้ตัว และถ้าคุณเป็นคนที่ดื่มนมทีไรท้องเสียตลอดคุณอาจจะกำลัง “แพ้นมวัว” อยู่นั่นเอง อาการแพ้นมวัวหรือที่อาจพูดได้อีกอย่างคือ กินนมวัวไม่ได้ กินแล้วจะรู้สึกไม่สบายตัวไม่สบายท้องมี ผื่น คันขึ้นตามตัว สาเหตุของผู้ที่ “กินนมวัวไม่ได้” นั้น มี 2 กลุ่มใหญ่คือ “แพ้โปรตีนในนมวัว” และ “การแพ้น้ำตาลแล็กโทสในนมวัว” เรามาดูกันดีกว่า ทั้ง 2 กลุ่มแตกต่างกันอย่างไร

สาเหตุของการแพ้นมวัว มีอยู่ 2 กลุ่ม คือ

1. แพ้น้ำตาลแล็กโทสในนมวัว
ในนมวัวมีแร่ธาตุสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะแคลเซียม เหล็ก ไขมัน เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรต และอื่นๆ อีกมาก ทั้งนี้คาร์โบไฮเดรตในน้ำนมก็คือน้ำตาลแล็กโทส (Lactose) นั่นเอง การที่เราแพ้แล็กโทสเกิดจากการที่น้ำตาลแล็กโทสสามารถควบคุมปริมาณจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารให้เราขับถ่ายได้ดีขึ้น แต่ในกรณีคนที่แพ้น้ำตาลแล็กโทส คือร่างกายไม่สามารถสร้างเอนไซม์แล็กเตส (Lactase Enzyme) ที่มีความสำคัญในการย่อยน้ำตาลแล็กโทสในน้ำนม ให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคสและกาแล็กโทส ที่ร่างกายสามารถดูดซึมเข้าไปในผนังลำไส้ได้ เมื่อไม่มีเอนไซม์นี้ร่างกายด็ไม่สามารถย่อยได้จึงตกค้าง จุลินทรีย์ในทางเดินอาหารเลยเอาไปใช้แทน ทำให้เป็นกรด แก๊ส และท้องเสีย ซึ่งมักจะเกิดภายใน 30-120 นาที หลังดื่มนมเข้าไป หรือทานอาหารที่มีส่วนประกอบจากนม

2. แพ้โปรตีนในนมวัว
กลุ่มเดียวกับอาการแพ้อาหาร ในนมวัวจะมีโปรตีนที่เรียกว่า Beta-lactoglobulin หากดูดซึมเข้าร่างกายแล้ว ในบางรายจะมีอาการแพ้โปรตีน โดยลักษณะการแพ้ ก็จะคล้ายๆ กับโรคภูมิแพ้ทั่วไป สามารถแบ่งอาการได้ 2 ระดับ คือ แบบเฉียบพลัน อาการจะเกิดขึ้นภายใน 2 ชม. หลังดื่มนม โดยมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง คล้ายๆ กับลมพิษ มีอาการตาบวม ปากบวม อาเจียน ท้องเสีย น้ำมูกไหล ไอ หายไจอาจมีอาการท้องเสียหรืออาเจียนเฉียบพลัน หรือมีน้ำมูกไหล ไอ หรือหายใจมีเสียงวี๊ด อีกหนึ่งอาการ คือ แบบไม่เฉียบพลัน จะมีอาการเช่น อาเจียน ถ่ายเหลว หรือหายใจขัดไม่สะดวก มักเกิดขึ้นประมาณ 2 ชม. ไปแล้วหลังดื่มนม

ในคนที่แพ้นมวัว เมื่อนดื่มนมจะยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพเพราะอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นตามมาแล้ว ยังทำให้โอกาสที่จะดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงลดลงด้วย เพราะหลายคนที่รู้ตัวและไม่อยากเสี่ยงกับอาการแพ้ จะเลิกดื่มนมวัวถาวร ทั้งที่ในปัจจุบันผู้ผลิตได้พัฒนาผลิตภัณฑ์นมให้เป็นนมที่ปราศจากแล็กโทสได้แล้วและมีวางจำหน่าย หรือจะเลือกดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่สามารถทดแทนแคลเซียม วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในนมวัวได้

อาหารที่คนเป็นเบาหวานอาจจะเข้าใจผิด

อาหารหวานจัด เป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคเบาหวานอย่างที่ใครหลายคนทราบกันดี แต่ไม่ใช่เพียงแค่อาหารรสหวานเท่านั้นที่เราควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน เพราะอาหารที่ไม่ได้มีรสหวานจัดก็อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เราได้เช่นกัน

อาหารเสี่ยง “เบาหวาน” ที่ “ไม่หวาน”

  • ข้าว อาหารประเภทเส้น
    หากยังไม่ลืมกัน แป้งและน้ำตาลจัดเป็นอาหารในหมวดหมู่คาร์โบไฮเดรต ดังนั้นข้าวที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้นี่แหละที่เป็นหนึ่งในตัวการเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้ นอกจากข้าวแล้ว ยังรวมถึงเส้นก๋วยเตี๋ยวต่างๆ เส้นราเมง อุด้ง โซบะ พาสต้า สปากเก็ตตี้ ฯลฯ ด้วย
  • ขนมปัง
    อาหารที่มีส่วนประกอบเป็นขนมปังต่างๆ ทั้งขนมปังสารพัดหน้า สารพัดไส้ในร้านเบเกอรี่ พาย ขนมปังในพิซซ่า และอาหารที่มีส่วนประกอบหลักเป็นแป้ง ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลัก ที่กินมากๆ สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้
  • อาหารรสจัด
    อาหารไทยขึ้นชื่อว่ารสชาติจัดจ้าน และมีการเติมเครื่องปรุงกระหน่ำจนเราอาจจะกินกันจนคุ้นลิ้น แต่นอกจากอาหารที่มีรสหวานจัดๆ โดดเด่นกว่ารสอื่นๆ แล้ว อาหารรสจัดที่อาจจะมีรสอื่นนำ เช่น ส้มตำ ที่อาจจะมีรสเปี้ยว หรือเค็มนำ อาจจะเป็นอาหารที่แอบใส่น้ำตาลสูง แต่โดนรสชาติอื่นกลบจนเราคิดว่าอาจจะไม่ใช่อาหารที่เติมน้ำตาลมากก็ได้ ดังนั้นควรระมัดระวังอาหารที่มีรสจัดเอาไว้จะดีกว่า

ทำไมอาหารเหล่านี้ถึงเสี่ยงโรคเบาหวาน?
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลระหว่างการย่อยอาหารในร่างกายเราได้ เพื่อดูดซึมนำไปใช้งาน นำไปเป็นพลังงานให้กับร่างกาย และหากเรากินมากเกินความจำเป็น ก็อาจมีน้ำตาลในร่างกาย หรือในเลือดสูงเกินไปจนทำให้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวานได้นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งกังวลใจไปจนไม่แตะต้องอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเลย เราไม่ได้ให้คุณงดข้าว งดอาหารประเภทเส้น หรืองดขนมปังโดยสิ้นเชิง เพียงแต่หากสามารถเลือกทานเป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตประเภทเชิงซ้อนได้ ก็จะช่วยลดการย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ช้าลง เพิ่มกากใยอาหารในร่างกายได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว โดยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อยากแนะนำ ได้แก่ ข้ามกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต เป็นต้น