ความเครียดส่งปัญหาต่อร่างกายมนุษย์เราอย่างไร

หากย้อนหลังไปในอดีต เราจะเห็นได้ว่าความเครียดนั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะจับต้องได้ โดยส่วนใหญ่เรามักจะสนใจแค่ตับดี ไตดี กล้ามใหญ่ หรือไขมันน้อย แต่ทว่าได้เปลี่ยนไป พอเข้าสู่ยุคเหล่านี้จะเห็นได้ว่าทางการแพทย์ได้มีการพัฒนามากขึ้น โดยในยุคนี้ได้มีการพัฒนาสามารถที่จะดูข้อมูลจากในเลือดของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเจาะ หรือว่าการนำเลือดไปตรวจ แล้วสามารถที่จะบ่งบอกไปถึงสภาวะเกี่ยวกับความเครียดของจิตของเราได้แล้วนะ

 

สำหรับอวัยวะที่เป็นการกำหนดหรือการเข้ามาควบคุมทางด้านความเครียดต่างๆของร่างกาย นั่นก็คือสมองของเรา แต่นอกจากกนั้นก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่าต่อมหมวกไต โดยมีชื่อเรียกที่เป็นภาษาอังกฤษว่า Adrenal Gland โดยจะมีลักษณะเป็นต่อมที่มีขนาดเล็ก เกาะอยู่บนไตของเราทั้งสองข้างด้วยกัน ถ้าหากว่าใครก็ตามที่เคยดูหนังจีนในเวลาที่เขาแมะเสร็จ พวกเขาจะมีการเรียกต่อมหมวกไตนี้ว่า ชี่ หรืออีกอย่างว่าพลังชีวิต โดยถ้าเทียบว่าการมีชี่เยอะก็เท่ากับว่าจะมีพลังงานชีวิตเยอะ จึงทำให้เรี่ยวแรงก็ดีตามไปด้วย

โดยปัจจุบันนี้ต่อมหมวกไตจะทำการหลั่งฮอร์โมนที่เป้นสำคัญๆ ทั้งหมด 2 ตัวด้วยกัน ที่ข้องเกี่ยวกับความเครียดของเราโดยมีดังนี้

ตัวที่ 1. มีชื่อว่า คอร์ติซอล สำหรับในทางสายกลางหากว่ามีเยอะจนเกินไปเราจะเรียกมันว่าความเครียด

ตัวที่ 2. มีชื่อเรียกว่า DHEA โดยสำหรับ DHEA นี้เราจะเรียกมันว่าตัวต่อต้านฮอร์โมนความเครียด

 ซึ่งทั้งสองตัวนี้จะมีการทำงานให้มันบาลานซ์กัน โดยถ้าหหากว่าฮอร์โมนเครียดของคนเรามีเยอะ จะทำให้ตัวนี้เหลือน้อยลง และถ้าหากว่าฮอร์โมนเครียดของเรามีน้อยก็จะส่งผลให้ DHEA มีเยอะมากขึ้น ถ้าจะให้จำง่ายๆจะเป็นดังนั้น คอร์ติซอลต้องอย่ามีเยอะหรือมีมาก เพราะจะต้อง DHEA เยอะๆมากเช่นกัน

ซึ่งในขณะเดียวกันเวลาที่มีคอร์ติซอลหรือเวลาที่มฮอร์โมนเครียดที่เยอะ ก็จะทำการส่งข้อมูลที่เป็นสัฤญญาณโดยผ่านสแปรงนิค เนิร์ฟ (Splanchnic nevrve) ส่งขึ้นไปยังส่วนที่เป็นสมองของเรา จากนั้นจะส่งผลให้เกิดความเสียหายขึ้นมาอีกมากมาย และเมื่อเวลาที่เรานั้นมีคอร์ติซอลที่เยอะขึ้น

จะส่งผลให้เกิดสารที่เป็นสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นเยอะตามไปด้วย หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งคือ (Free Radical) คือมันจะเข้าไปทำร้ายร่างกาย ทำลายเกี่ยวกับเซลล์ ส่งผลทำให้เราเกิดความเจ็บป่วยขึ้นได้ ซึ่งเวลาที่พวกเรามีสารฮอร์โมนที่เกิดความเครียดที่สูงขึ้น ก็จส่งผลก่อให้เกิดความอักเสบที่เยอะขึ้นไปด้วย

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    เครื่องช่วยฟังราคาถูก

สัญญาณเตือนความผิดปกติจากประจำเดือน 

เป็นที่ทราบกันดีนะคะว่าตามธรรมชาติของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์หรือที่เรียกว่าเข้าสู่วัยรุ่นร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อที่ผนังมดลูกให้มีความหนาขึ้นเพื่อเตรียมการตั้งครรภ์แต่ถ้ายังไม่มีการปฏิสนธิเยื่อบุรงมดลูกก็จะหลุดลอกและไหลผ่านทางช่องคลอดเป็นเลือดเรียกว่าประจำเดือนค่ะ

ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกๆ 21 ถึง 35 วันครั้งละ 3-7 วันซึ่งปริมาณประจําเดือนที่ปกติในแต่ละรอบจะต้องไม่เกิน 80 ซีซีและมีการเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง

โดยประจำเดือนจะออกเป็นสีต่างๆได้แก่สีแดงเข้มสีน้ำตาลและสีดำร่วมกับอาการปวดท้องปวดศีรษะหน้าอกขยายและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหากมีอาการที่ผิดปกติจากที่กล่าวมาขณะเป็นประจำเดือนอาจเป็นสัญญาณเตือนบอกโรคของสาวๆได้ค่ะ

ทีนี้เราจะมาสังเกตสีของประจำเดือนกันนะคะว่าแต่ละสีบ่งบอกว่าร่างกายของเรากำลังเป็นโรคหรือมีภาวะผิดปกติอะไรบ้างได้แก่

 1 สีแดงเข้มจัดมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะโลหิตจางได้ 2 สีชมพูหรือสีแดงต่างๆเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำมักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่มีภาวะซีดหรือออกกำลังกายอย่างหนักผักโขมมากเกินไปสีแดงอมส้มเกิดจากการติดเชื้อในช่องคลอดมักจะมีกลิ่นเหม็นและมีหนองคนประจำเดือนออกมาด้วยถ้าสีแดงคนเขียวข้นเกิดจากการติดเชื้ออย่างเช่นการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน 6 สีแดงคนเทาเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียมักจะมีอาการคันร่วมด้วยค่ะ

คราวนี้นะคะเรามารู้กันดีกว่าว่าแล้วประจำเดือนที่มีลักษณะผิดปกติมีอะไรบ้างเริ่มจากการมีประจำเดือนที่มากกว่าปกติหากประจำเดือนมามากกว่า 8 วันและสังเกตได้ว่าจะต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆชั่วโมงเป็นสัญญาณเตือนบอกโรคและความผิดปกติของร่างกายได้แก่โรคช็อกโกแลตซีสต์โรคเยื่อบุในมดลูก

ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลภาวะเลือดจางการเกิดเนื้องอกในมดลูกปิดบนเครื่องอักเสบมะเร็งปากมดลูกส่วนปริมาณประจำเดือนน้อยกว่าปกติ

สังเกตได้จากสีประจำเดือนต่างๆเวลาเปลี่ยนผ้าอนามัยหรือประจำเดือนมาแบบกระปิดกระปอยเกิดขึ้นได้จากหลายๆเหตุ เช่นภาวะแทรกหมดประจำเดือนการใช้ยาคุมกำเนิดต่อมใต้สมองขาดเลือดการตกไข่สังเกตได้จากในช่วงกลางของรอบเดือน

ส่วนใครที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอเป็นสัญญาณที่บอกว่าร่างกายอยู่ในภาวะอ้วนเครียดความผิดปกติของต่อมหมวกไตโรคเกี่ยวกับไทรอยด์การเกิดเนื้องอกในรังไข่และภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง

ทั้งนี้โดยปกติแล้วประจำเดือนแต่ละรอบจะต้องไม่มาเร็วกว่า 21 วันหรือมาช้ากว่า 35 วันนับจากประจำเดือนรอบที่แล้วหากประจำเดือนที่มาเร็วหรือช้ากว่าเวลาดังกล่าวแสดงว่ารอบประจำเดือนนั้นผิดปกติ

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย   เครื่องช่วยฟังราคาถูก